เติมลมยาง รถเก๋ง เติมลมยาง รถกระบะ เติมเท่าไหร่ดี ตามขนาดรถ
เติมลมยาง นอกเหนือจากการต้องคอยดูแลอย่าให้ลมยางรถยนต์อ่อนอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย รถยนต์กินน้ำมันมากกว่าปกติ แล้วยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ทั้งจากการสั่นสะเทือน ดอกยางแตกจากการเสียดสี แล้ว เรื่องที่ต้องเข้มงวดก็คือ การเติมลมยางรถยนต์นั้น ต้องมีความเป๊ะตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ ล้อหน้าเท่าไหร่ ล้อหลังเท่าไหร่ อยากรู้ว่าทำไมต้องเข้มงวดเรื่องนี้ถึงขนาดนั้น เรามาดูเหตุผลกัน
ผลข้างเคียงของการเติมลมยางรถยนต์ไม่ได้มาตรฐาน
- กรณีเติมลมน้อยเกินไป การเติมลมยางน้อยเกินไปก็มีสภาพเหมือนกับการปล่อยให้ลมยางอ่อนนั่นแหละ แม้ว่าจะดีกว่าหน่อย แต่ผลที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ เป็นเหตุให้เกิดยางบวมได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีอันตรายยามขับขี่เนื่องจากจุดที่บวมจะทำให้ยางแกว่งเพราะมีจุดเสียสมดุล และกลายเป็นจุดเปราะบางของยาง พอใช้งานหนักส่วนที่บวมอยู่แล้วจะขยายตัวขึ้นจนถึงขั้นยางระเบิด ซึ่งอันตรายมาก
อีกอย่างหนึ่งการเติมลมยางน้อยไปจะทำให้อายุการใช้งานลดลง ดอกยางสึกเร็วขึ้น และดอกยางที่สึกก็มีผลทำให้เกิดความฝืดต่อผิวสัมผัส ต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นไปด้วย
- กรณีเติมลมยางรถมากเกินไป ล้อที่แข็งเกินไป จะทำให้เกิดความสะเทือนหรือกระแทกแรงขึ้นขณะขับ แรงกระแทกมากก็ทำให้นั่งไม่สบาย อีกทั้งหากมากเกินไปอาจถึงกับยางระเบิดได้ขณะขับ นับว่าเป็นอันตรายมาก
ทริคเล็กๆในการเติมลมยาง
- ต้องเติมลมยางล้อคู่หน้าหรือหลังให้รักษาระดับแรงดันลมเท่ากันทั้งคู่ ยางที่มีลมไม่เท่ากันนอกจากจะทำให้รถเสียสมดุลขณะขับแล้ว ยังรับแรงกระแทกเสียดสีไม่เท่ากัน เสื่อมเร็วช้าต่างกัน และส่งผลระยะยาวในเรื่องการเปลี่ยนยาง เพราะทำให้ต้องเปลี่ยนเร็วกว่าปกติ และจะเปลี่ยนทีละข้างก็ทำให้เกิดความต่างอีก
- ต้องไม่ลืมว่า ธรรมชาติของอากาศเมื่อโดนความร้อนจะขยายตัว ดังนั้น จึงไม่ควรเติมลมยางในขณะที่ยางร้อน เพราะจะทำให้ลมยางไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ต้องการ
- แม้จะมีมาตรฐานการเติมลมยางรถที่กำหนดไว้แล้วก็จริง แต่ยางเรเดียลเส้นลวดก็ต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบธรรมดาอยู่ดี
- พึงระลึกอยู่เสมอว่า การเติมแรงดันลมยางไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมากไปหรือน้อยไป ก็ทำให้อายุการใช้งานของยางรถยนต์สั้นลงทั้งนั้น ซ้ำยังไม่ปลอดภัยด้วย ไม่ควรมองข้ามความปลอดภัย อย่าเห็นว่าเรื่องเติมลมยางเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วหยวนๆ ยังไงก็ได้
- นอกจากจะคำนึงถึงมาตรฐานที่กำหนดไว้แล้วว่าต้องเติมลมยางเท่าไหร่ ยังต้องคำนึงถึงการใช้งานจริงด้วย เพราะรถที่ใช้งานหนักไม่เท่ากันก็ควรเติมลมยางให้มีแรงดันต่างกัน เช่น รถที่ต้องบรรทุกของหนักเป็นประจำ น้ำหนักของทำให้ยางต้องรับแรงกดเพิ่มขึ้น การเติมลมยางเพิ่มสัก 2-3 ปอนด์/ตร.นิ้ว(psi) อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว รถยนต์ดังกล่าวจะต้องมีการตั้งศูนย์ล้อ ตั้งมุมของล้อหน้าให้ได้สมดุลถ่วงกับน้ำหนักของด้วย
ความดันลมยางที่เหมาะกับรถแต่ละประเภท
เพราะรถแต่ละประเภทมีการใช้งานที่แตกต่างกัน รับน้ำหนักต่างกัน มาตรฐานการเติมลมยางจึงถูกกำหนดมาให้เหมาะกับการใช้งานในเบื้องต้น ส่วนว่าถ้าจะมีการต้องปรับก็ขึ้นอีกกับการใช้งานจริงอีกส่วนหนึ่ง ลองมาดูกันว่า รถประเภทไหนควรเติมลมยางเท่าไหร่
-
เติมลมยางรถเก๋ง
โดยทั่วไปความดันสูงสุดของลมยาง ไม่ควรเกิน 36 ปอนด์/ตารางนิ้ว แต่เนื่องจากในบรรดารถเก๋งเองก็ยังมีความต่างกันในเรื่องของขนาดรถอีก จึงทำให้ต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีก
- 1.1 รถเก๋งที่มีขนาดเล็ก น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1500cc ความดันลมยางอยู่ที่ประมาณ 25 – 30 ปอนด์ / ตารางนิ้ว (psi)
- 1.2 รถเก๋งที่มีขนาดกลางถึงใหญ่ มากกว่า 1500cc ความดันลมยางอยู่ที่ประมาณ 30 – 35 ปอนด์ / ตารางนิ้ว (psi)
-
เติมลมยางรถกระบะ
โดยทั่วไป ควรเติมความดันลมยาง ไม่เกิน 65 ปอนด์ / ตารางนิ้ว (psi)
หมายเหตุ psi ย่อมาจาก Pound per Square Inch หรือ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นหน่วยวัดความดัน ซึ่งมีความหมายว่า หนึ่งปอนด์ต่อตารางนิ้ว ความหมายคือ ความดันซึ่งเป็นผลจากแรง 1 แรงปอนด์กระทำต่อพื้นที่หนึ่งตารางนิ้ว มีค่าประมาณ 6,894.757 Pa ในระบบเอสไอ
หน่วย PSI นี้เป็นหน่วยที่นิยมใช้ในหลายประเทศ ทั้งอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และเนื่องจากโดยทั่วไป มีการใช้หน่วยนี้เพื่อวัดแรงดันของยางรถยนต์ ซึ่งรถยนต์แต่ละรุ่นจะถูกกำหนดให้ใช้ประเภทของยางและแรงดันที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป คนที่ใช้รถยนต์จึงต้องทำความรู้จักหน่วยวัดนี้ไปด้วย
เวลาที่เหมาะในการตรวจเช็คลมยาง
เพราะอากาศมีการขยายตัว ดังนั้น เราจึงควรตรวจเช็คลมยางในช่วงที่ยางอยู่ในอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อน เพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าเราจะพยายมเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานที่บริษัทรถกำหนดมาก็จริง แต่หากเติมในสภาพที่ยางร้อน ค่าของแรงดันลมยางก็อาจคลาดเคลื่อนจากที่ต้องการได้ . . . อีกทั้งการระมัดระวังไม่ให้ยางสัมผัสกับความร้อน แสงแดด ลม ฝน ความชื้น น้ำมันและสารเคมียังมีส่วนช่วยให้เราใช้ยางได้นานด้วย