วิธียืดอายุการใช้งานแอร์รถยนต์
ปัจจุบันแอร์รถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นในรถยนต์เสียแล้ว ด้วยอากาศบ้านเราที่มีธรรมชาติร้อนและร้อนมาก อีกทั้งมลภาวะในอากาศที่ไม่สนับสนุนให้ผู้ใช้รถแต่ละคันเปิดหน้าต่างเพื่อสูดอากาศพิษเข้าปอด จึงจำเป็นต้องติดแอร์ ต่อให้เป็นฤดูหนาวก็ยังต้องเปิด และในเมื่อใช้แอร์รถยนต์ประจำซะขนาดนั้น แน่นอนว่า ย่อมมีความเสื่อมของแอร์รถเร็วขึ้น แต่ถ้าเราสามารถชะลอความเสื่อมของแอร์รถยนต์ได้บ้างด้วยวิธีเหล่านี้ ใครๆ ก็คงอยากจะทำ เพราะเท่ากับลดค่าใช้จ่ายในการต้องเปลี่ยนแอร์ใหม่ มาดูกัน
- เช็คระบบปรับอากาศในรถยนต์ทุก 3-6 เดือน และต้องเป็นการเช็คจากผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน จะเป็นการเช็คที่ร้านหรือศูนย์บริการก็ได้ ขอให้ได้มาตรฐาน
- ผู้ใช้รถต้องรู้จักสังเกตความผิดปกติของแอร์ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องของความเย็น หากจู่ๆ ความเย็นน้อยลง ทั้งที่อุณหภูมิภายนอกก็ปกติเหมือนทุกวัน เลือกความเย็นในระดับเท่าเดิม ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเช็คระบบแอร์แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพราะอาจเป็นไปได้ว่า น้ำยาแอร์รั่ว หรือเกิดกรณีท่ออุดตัน หากไม่สามารถเช็คเบื้องต้นให้รู้แน่ได้ ก็ต้องหาช่างแอร์ช่วย
- เนื่องจากระบบปรับอากาศในรถยนต์ที่ใช้ในบ้านเรานั้น ถ้ารุ่นเก่าหน่อยก็มักจะเป็นระบบ R-12 แต่ต่อมาก็เป็นระบบ R-134a ซึ่งเจ้าของรถควรรู้ข้อมูลตรงนี้ด้วยว่ารถของคุณใช้ระบบใด เวลาเติมน้ำยาแอร์จะได้ไม่เติมผิดประเภท เพราะข้อเท็จจริงคือ น้ำยาแอร์สองระบบนี้ ห้ามเติมด้วยกันเด็ดขาด ระบบใครระบบมัน
- บางคนอาจมีข้อสงสัยว่า ถ้าพลั้งเผลอผสมน้ำยาแอร์ระบบ R-12 และ R-134a เข้าด้วยกันแล้วจะเป็นอย่างไร คำตอบคือ ระบบแอร์ในรถยนต์ของคุณจะเสียหายแน่นอน ดังนั้น ถ้ารถคุณใช้ระบบ R-12 ก็ต้องเติมแบบ R-12 ถ้ารถของคุณใช้ระบบ R-134a ก็ต้องเติม R-134a ในปัจจุบันน้ำยาแอร์ R-12 มีการผลิตน้อยลงหรือบางที่ไม่ผลิตแล้ว บางครั้งเมื่อคุณไปเติมน้ำยาแอร์ หากผู้ให้บริการจะเติมแบบ R-134a ซึ่งมีแพร่หลายกว่าให้ คุณต้องปฏิเสธให้เด็ดขาด เพราะหากจะเปลี่ยนน้ำยาแอร์จากระบบ R-12 มาใช้ระบบ R-134a นั้น จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบซึ่งหากรถของคุณเป็นรถยนต์ที่เก่าแล้ว การเปลี่ยนนี้ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าเลย
เหตุที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบนั้น เนื่องจากแรงดันน้ำยาแอร์ระบบ R-134a สูงกว่าระบบ R-12 การเปลี่ยนนั้น ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง มาดูกัน
4.1 ต้องเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ให้มีแรงอัดน้ำยามากขึ้น
4.2 ก่อนเติมน้ำยาแอร์ประเภทใหม่ลงไปในระบบ ต้องล้างน้ำยาเก่าของระบบเดิมออกให้หมดก่อน
4.3 เปลี่ยนท่อยางและ Oring
4.4 เปลี่ยน Receiver Dryer
4.5 เปลี่ยน extension valve
4.6 ส่วนแผงคอยล์เย็นและคอยล์ร้อนอาจยังไม่ต้องเปลี่ยน หากเช็คแล้วยังอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยแผลลึกๆ
4.7 เมื่อเปลี่ยนระบบเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมติดสติ๊กเกอร์เพื่อเป็นการเตือนว่า ใช้ระบบแอร์
134 ด้วย เพื่อป้องกันการพลั้งเผลอเติมผิดประเภท
- การเช็คว่า ปัจจุบันรถของคุณใช้น้ำยาแอร์ในระบบ R-12 หรือ R-134a ทำได้โดยการตรวจเช็คจากห้องเครื่องที่กระโปรงรถ โดยสังเกตที่หัวเติมน้ำยาแอร์ เพราะทั้งสองระบบมีความต่างกัน ระบบ R-12 หัวเติมเป็นแบบเกลียว ส่วนระบบ R-134a หัวเติมเป็นแบบตัวล๊อค หรือเช็คจากรุ่นการผลิตของรถก็ได้ เพราะรถรุ่นเก่าที่ผลิตก่อนปี พ.ศ.2538 จะใช้แอร์ระบบ R-12 เท่านั้นหลังปี 2538 แล้วจะเปลี่ยนเป็นใช้ระบบแอร์ R-134a เกือบทั้งหมด แต่ถ้าเป็นรถกระบะต้องนับที่ผลิตหลังปี 2539 เพราะพัฒนาทีหลังรถยนต์นั่ง
- การรั่วซึมในระบบแอร์รถยนต์ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์รถยนต์อายุการใช้งานสั้นลงดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ดังนั้นถ้าพบว่าคุณต้องเติมน้ำยาแอร์บ่อยๆ ในเวลา 3 เดือน แสดงว่าระบบแอร์ในรถของคุณรั่วแน่นอน
- เพื่อยืดอายุการใช้งานแอร์รถยนต์ คุณต้องดูแลให้ดี เลือกใช้น้ำยาแอร์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน อย่าเลือกใช้น้ำยาแอร์ที่ติดไฟได้ คงไม่ต้องบอกว่า หากเลือกใช้แล้วมีแนวโน้มอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง
- ระบบแอร์ในรถยนต์มีไว้เพื่อปรับอากาศ ป้องกันมลภาวะในอากาศเข้ามาในรถ แต่ถ้าคุณสร้างมลภาวะในรถเสียเองเช่น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นอาหาร ฯลฯ กลิ่นเหล่านี้จะเวียนวนอยู่ในตัวรถ ทำให้อากาศภายในรถไม่บริสุทธิ์ ฉะนั้น หากมีกรณีเช่นนี้ คุณต้องเปิดช่องระบายอากาศเพื่อไล่กลิ่นและควันเหล่านั้นออกไป
อนึ่ง แม้ว่าจะเป็นการใช้แอร์ตามปกติ ก็ต้องมีการเปิดช่องระบายอากาศเป็นระยะๆ เพื่อให้มีการถ่ายเท ไม่เกิดความอับ หรือชื้นในรถยนต์ ( หรือล้างกรองเเอร์รถยนต์ก็สามารถช้วยได้อีกด้วย ส่วนวิธีล้างเเละดูแลดูเพิ่มเติมได้ที่ กรองแอร์รถยนต์ )
- หากไม่ได้ใช้รถนานๆ เช่น จอดทิ้งไว้ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ ต้องมีการสตาร์ทรถและเปิดแอร์ทิ้งไว้บ้าง แต่ละครั้งไม่ต้องนาน แค่ไม่เกิน 10 นาทีก็พอ การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันการรั่วซึมของน้ำยาแอร์ที่ซีลคอมเพรสเซอร์ได้ด้วย
- หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดนาน เพราะรถของคุณซึ่งเป็นโลหะจะดูดซับความร้อนเอาไว้ในปริมาณมาก ความร้อนจะระอุเข้าไปถึงภายในรถ จะสังเกตเห็นว่า เมื่อจอดรถกลางแดดเวลาเปิดประตูรถเข้าไป ไอร้อนจะแผ่ออกมาทันที แม้แต่เบาะที่นั่งบางทีก็ร้อนจนไม่สามารถรีบร้อนนั่งได้ ต้องมีการเปิดประตูรถเพื่อระบายความร้อนก่อน นั่นหมายถึงการเสียเวลา และเมื่อพอนั่งได้แล้ว ออกรถ เปิดแอร์ แอร์ที่เปิดจะต้องเอาความเย็นมาปรับอุณหภูมิในรถก่อนที่จะทำให้ภายในห้องโดยสารเย็นตามต้องการ ซึ่งนั่นหมายถึง สิ้นเปลืองพลังงานในการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิโดยใช่เหตุ ดังนั้น ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยงการจอดรถกลางแจ้ง และเลือกจอดรถในที่ร่มแทน หากมีความจำเป็นต้องจอดกลางแจ้ง ให้มีผ้าคลุมรถเอาไว้จะดีกว่า
กรณีขับรถท่ามกลางความร้อนในตอนกลางวัน ควรปิดช่องระบายอากาศและกระจกให้มิดชิด ขณะใช้เครื่องปรับอากาศ ก็พอจะช่วยประหยัดได้บ้าง เพราะลมร้อนภายนอกจะไหลเข้ามาภายในตัวรถน้อยลง ภายในรถก็จะเย็นได้เร็วกว่าปล่อยให้อากาศร้อนๆ เข้ามาในรถตลอดเวลา
- หากมีการขับรถขึ้นเขา เครื่องยนต์ของคุณต้องทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว ผู้ขับขี่ควรปิดเครื่องปรับอากาศบ้าง จะได้ลดภาระของเครื่องยนต์ ไม่ไปกระตุ้นให้เครื่องยนต์ร้อนเร็วขึ้น
นอกจากนั้น เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานแอร์รถยนต์ ผู้ใช้ควรทำความสะอาดแผงระบายความร้อนที่อยู่หน้าหม้อน้ำโดยสม่ำเสมอ วิธีทำความสะอาดก็ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ลมเป่าหรือใช้น้ำฉีด แล้วใช้แปรงขนอ่อนๆ แปรงสิ่งสกปรกที่อยู่ตามครีบออก แผงระบายความร้อนสะอาดก็ระบายความร้อนได้ดี แอร์ในรถก็เย็นขึ้น ยืดอายุการใช้งานได้ดี