ยางล้อรถยนต์ ใช้ยางรถยนต์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด
การใช้งานอุปกรณ์รถยนต์ ชิ้นส่วนต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้ตามอายุการใช้งานของอุปกรณ์นั้นๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี นอกจากจะไม่เสียเงินโดยใช่เหตุแล้ว ยังมีส่วนในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้รถยนต์ด้วย เช่นเดียวกันกับการใช้งาน ยางรถยนต์ ถ้าใช้งานอย่างถูกต้อง หมายถึงความปลอดภัย เพราะยางรถยนต์นั้นต้องรับน้ำหนักของตัวรถ และเป็นตัวเคลื่อนไปบนถนน ยางรถดี เกาะถนน ก็สร้างความปลอดภัย แล้วทำอย่างไรจึงจะยืดอายุยางรถยนต์ได้ ลองมาดูกัน
ยืดอายุยางรถยนต์ ต้องทำอย่างไร
- รัน-อิน ยางใหม่ ยางรถยนต์ก็มีระยะรันอินเหมือนอุปกรณ์อื่นๆ เช่นกัน ในการรันอินยางใหม่นั้นจะเริ่มในช่วง 100-200 กม. ซึ่งช่วงนี้ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 80-100 กม./ชม. เพราะยางรถแต่ละเส้นถูกผลิตออกมาให้รับกับมุมแคมเบอร์ของล้อเท่ากับ 0 คือตั้งฉากกับพื้น ต้องให้เวลาในการปรับโครงสร้างแก้มยางและหน้ายางให้รับกับศูนย์ล้อก่อน
- ถ่วงล้อยาง การถ่วงล้อยางนั้น เป็นการเสริมในเรื่องของความสมดุลของล้อสองข้างที่คู่กัน โดยเฉพาะล้อคู่หน้า มีความจำเป็นมากเพราะมีผลต่อการเลี้ยวรถในแต่ละครั้ง หากไม่สมดุลจะส่งผลให้เกิดอาการรถส่าย และทำให้ลูกปืนล้อหรือช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย ดังนั้น เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ต้องมีการถ่วงล้อเสมอ หรือแม้ไม่ได้เปลี่ยนใหม่ แต่ใช้งานไปสักครึ่งของอายุการใช้งานยางตามปกติ ก็ควรถอดล้อออกมาถ่วงสมดุลสักครั้ง เพราะธรรมชาติของการใช้รถ ยางมักสึกหรอไม่เท่ากันอยู่แล้ว
- ลมยาง การรักษายางรถยนต์ให้ใช้งานได้นานๆ จะต้องเติมลมยางให้ได้มาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมา คืออยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้ว เป็นต้น เพราะการปล่อยให้ลมยางอ่อน จะมีผลทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย ยิ่งถ้าลมยางอ่อนมากๆ ยิ่งทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมเร็วขึ้น เวลาสัมผัสกับพื้นถนนตรงส่วนบริเวณนอกซ้าย-ขวา ของหน้ายางจะเบียดเสียดกับถนนมากกว่าตรงกลาง ยางเลยเสื่อมเร็ว
การเติมลมยางเกินจนทำให้ยางแข็งเกินไปก็ไม่ดี นอกจากจะทำให้หน้ายางตรงกลางเบียดกับถนนมากกว่าด้านนอกซ้าย-ขวาแล้ว แรงดันลมยางที่มากเกินไปยังทำให้ยางเกาะถนนได้ไม่ดี อีกทั้งเสี่ยงต่อยางระเบิดด้วย
- สลับยางซ้าย-ขวา ทุกๆ ระยะการใช้งาน 10,000 กิโลเมตร เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว เพราะการใช้งานโดยทั่วไป ล้อยางจะสึกหรอไม่เท่ากัน และอย่าลืมว่า เมื่อจะสลับก็ต้องมีการหมุน ถ่วงล้อ สร้างสมดุลไปคู่กันด้วย นอกจากนั้น เวลาเปลี่ยนยางนั้นต้องให้เหมือนกันทั้งสองด้านซ้ายขวา เปลี่ยนพร้อมกัน ใช้ยางรุ่นเดียวกัน เพราะความต่างของยางมีผลต่อสมดุล
- ตรวจเช็คการสึกหรอของดอกยางอยู่เสมอ การสึกหรอของดอกยางนั้น สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ การหมั่นสังเกตการณ์สึกหรอของล้อยางเป็นประจำจะทำให้ไม่พลาดเรื่องความไม่สมดุล การเปลี่ยนยาง หรือสลับล้อ ที่บางครั้งการใช้งานของเราอาจทำให้ต้องทำก่อนเวลาที่กำหนด เนื่องจากความเสื่อมของดอกยางนั้น มีผลโดยตรงต่อการทรงตัวของรถด้วย
- เวลาในการเช็คลมยาง กำหนดว่า ลมยางควรได้ระดับมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนดมา ซึ่งต้องตรวจเช็คสม่ำเสมอ อย่างน้อยๆ ทุกสัปดาห์ และมีข้อแม้ว่า เวลาตรวจเช็คนั้น ต้องเป็นช่วงที่ยางไม่ร้อน ไม่เช่นนั้น ความร้อนภายในจะทำให้อัตราแรงดันคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะความร้อนทำให้ก๊าซขยายตัว ปกติเวลาเข้าไปเติมน้ำมันในปั๊ม มักจะมีจุดให้เติมลมอยู่แล้ว ไม่ยากในการตรวจเช็ค อยู่ที่ความใส่ใจและให้ความสำคัญมากกว่า
ยางหมดสภาพ ยางหมดอายุ
ยางรถยนต์นั้น สำคัญตรงดอกยาง เพราะความลึกของดอกยางส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการเกาะถนน ตลอดจนการรีดน้ำ ฝุ่น โคลน ช่วยในการทรงตัวของรถ ยิ่งเมื่อเจอถนนหลุมบ่อ ถนนลื่น มีน้ำขังจากฝนบ้าง อื่นๆ บ้าง ยางรถที่ใช้งานไปในระยะหนึ่ง คือ ประมาณ 1 ปี หรือระยะทางประมาณ 20,000 กิโลเมตรแล้ว ยางรถยนต์มักจะเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุ ซึ่งปรากฏอาการในหลายลักษณะ เช่น ดอกยางสึกหมดทำให้ไม่เกาะถนน เนื้อยางเริ่มแข็ง ปริแตก หรือเป็นลายงา โครงสร้างยางมีความกระด้าง แก้มยางบวม อาการเหล่านี้ อาจไม่ได้มาพร้อมกัน แต่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องพิจารณาเปลี่ยนแล้ว อย่าปล่อยให้หมดอายุคารถ จนเป็นความเสี่ยงขณะใช้งาน ความกระด้างของยางนั้น สามารถทดสอบได้เองง่ายๆโดยการใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายาง จะพบว่าจิกแทบไม่ลง
อายุการใช้งานของยางรถยนต์
โดยทั่วไป ยางรถยนต์ที่นิยมใช้ในเมืองไทยนั้นมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 3 ปีหรือ 50,000-60,000 กม. ยางก็จะเสื่อมสภาพ หมดอายุ แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง หรือบางครั้งหมดอายุก่อนก็มี ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการบำรุงรักษาของผู้ใช้แต่ละคน มีข้อน่าคิดว่า ยางใหม่ที่เก็บมานานโดยไม่ใช้งาน ก็สามารถเสื่อมอายุได้ ซึ่งน่าจะเหมือนของใช้อื่นๆ ไม่ใช้ก็เสื่อมเร็วกว่าใช้งานก็มี ( ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์เสื่อมหรือสึกไวกว่าปกติ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ยางล้อรถยนต์สึก )
ข้อควรระวัง
- รถยนต์ที่จอดไว้นานๆ โดยไม่มีการใช้เลยนั้น ล้อยางของตัวรถจะกดอยู่กับที่ เป็นจุดเดียว จึงไม่ควรจอดรถทิ้งไว้เฉยๆ แม้ไม่ใช้งานก็ต้องมีการเคลื่อนรถบ้าง ไม่เช่นนั้นโครงสร้างภายในและแก้มยางจะมีการยืดตัวและเสียความหยืดหยุ่น พอจะเอามาใช้อีกที ปรากฏว่า ยางเสีย ต้องเปลี่ยนยางใหม่เสียแล้ว หากจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้จริงๆ ทุกๆ 1 สัปดาห์ ให้สตาร์ทเครื่องและนำรถออกไปวิ่งบ้าง 2-3 กิโลเมตรก็ยังดี หรือน้อยที่สุด ได้ขับรถเดินหน้า ถอยหลัง 5 เมตร 10 เมตร หลายๆ รอบ เพื่อให้แก้มยางและโครงสร้างของยางมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนที่กดทับกับพื้นบ้าง
2. กรณีใช้น้ำยาเคลือบยาง ซึ่งปัจจุบันหันมาใช้กันมากขึ้น เพื่อความสวยงาม แต่น้ำยาบางชนิดกลับมีผลต่อเนื้อยางทำให้บวมหรือเปื่อยได้ เวลาเลือกใช้น้ำยาเคลือบ จึงควรเลือกใช้ประเภทซิลิโคนดีกว่าแบบอื่น