การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น ไม่ว่าจะมือใหม่ มือเก่า ยังไงก็ต้องรู้เอาไว้
รถยนต์เป็นพาหนะคู่กายที่เราฝากชีวิตไว้ทุกขณะที่เดินทาง การใส่ใจดูแลรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเราดูแลรถดีเท่าไหร่ รถก็จะดูแลเราดีเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะปล่อยปละละเลย มาดูกันว่า อะไรบ้างเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม เรามารู้จัก การดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น กันได้เลย
1. ทำความสะอาดไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ
อย่าปล่อยให้อุดตัน เพราะจะทำให้อากาศผ่านเข้าได้น้อย เพราะรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิง และด้วยระบบของเครื่องยนต์ จะต้องมีการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศในอัตราส่วนที่เหมาะสมต่อความต้องการของเครื่องยนต์โดยคาร์บูเรเตอร์ แต่ไส้กรองอากาศที่ไม่สะอาดพอ ทำให้อากาศผ่านได้น้อย เปรียบเหมือนปิดโช๊คเอาไว้บางส่วนทำให้เชื้อเพลิงถูกดูดเข้าสู่คาร์บูเรเตอร์มาก เป็นเหตุให้รถยนต์ของคุณใช้เชื้อเพลิงมากผิดปกติ เป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในส่วนนี้โดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ วิธีทำก็ไม่ยากอะไร ให้เป่าด้วยลมจากด้านใน เพื่อให้ฝุ่นที่จับบนไส้กรองหลุดออกมาด้านนอก ทั้งนี้ ควรทำความสะอาดทุก 15,000 กิโลเมตร หรือเมื่อตรวจพบว่า ไม่สะอาด โดยอาจสังเกตจากที่ใช้น้ำมันเปลืองกว่าปกติ
2. เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น
เป็นเรื่องธรรมดาที่เวลาเราใช้รถยนต์ไปสักระยะหนึ่ง ประสิทธิภาพของน้ำมันหล่อลื่นจะมีพวกสิ่งสกปรกเข้าไปผสมอยู่ ทำให้คุณภาพการทำงานของน้ำมันเสื่อมลง ซึ่งจะส่งผลให้เครื่องยนต์พลอยสึกหรอเร็วกว่าปกติ ไม่ใช่เท่านั้น เมื่อน้ำมันหล่อลื่นไม่ดี กำลังของเครื่องยนต์ก็หย่อนลงไปด้วย เนื่องมาจากสาเหตุ กำลังอัดในกระบอกสูบลดลง เพราะความดันรั่วไหล เมื่อกำลังของรถลดลง ก็จะพยายามดึงน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปกระตุ้นให้ทำงานได้ในระดับเดิม เป็นผลพวงให้รถกินน้ำมันเยอะโดยไม่ได้ประโยชน์ สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุเช่นกัน รถยนต์จึงต้องมีการตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุกระยะ 5,000 กิโลเมตร หรือเร็วกว่านี้ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน การเร่งเครื่องรถยนต์เป็นต้น
คำแนะนำสำหรับการเลือกน้ำมันหล่อลื่น เพื่อรักษารถยนต์ให้ใช้งานได้นาน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงซึ่งแน่นอนว่าราคาย่อมสูงไปด้วย แต่ก็คุ้มค่ากว่า เมื่อเทียบกับการดูแลรักษารถยนต์ซึ่งมีราคาแพง อย่าเสียดายเล็กน้อย แล้วต้องมาซ่อมชิ้นส่วนราคาแพงกว่าในภายหลัง เพราะคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นที่ไม่รักษาเครื่องยนต์
3. การตรวจเช็คความดันลมในยางรถยนต์
รถยนต์ทั้งคันมีล้อรถรองรับอยู่ 4 ล้อ ลมยางในรถยนต์จึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมองข้ามได้ เพราะล้อรถที่มีความดันของลมยางต่ำกว่าที่กำหนดไว้ส่งผลให้สมรรถนะการใช้งานของรถต่ำกว่าปกติ และยางที่ยุบตัวง่ายเนื่องจากลมยางอ่อนยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติหตุได้ง่ายขึ้น ยิ่งเดินทางไกล ขับรถเร็วด้วยแล้ว ยางลมอ่อนอาจทำให้รถลื่นไถล การเบรกขาดประสิทธิภาพ เพราะล้อที่เสียดสีกับถนนลื่นไถล อีกทั้งเป็นเหตุให้แก้มยางสึกหรอเร็ว เรียกว่า เพียงแค่ลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานเท่านั้น อันตรายและความเสียหายตามมาเป็นพรวน
นอกจากเป็นเรื่องของความปลอดภัยในการเดินทาง การเสื่อมของล้อรถแล้ว ลมยางที่อ่อนไปยังทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอีกด้วย สาเหตุก็เนื่องมาจากลมยางที่ต่ำกว่ามาตรฐาน จะทำให้เกิดแรงต้านการหมุนของล้อ (rolling resistance) เพิ่มขึ้น เคยมีการสำรวจพบว่า จะมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 2% ทีเดียว ถ้าปล่อยให้ลมยางอ่อนไป ยิ่งถ้าแต่ละปีเดินทาง 12,000 ไมล์ ลมยางที่อ่อนจะทำให้ต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มถึง 144 แกลลอนหรือเป็นเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มถึง 9000-17,000 บาท นับว่าไม่น้อยเลยกับการจ่ายเงินที่ไม่ควรต้องจ่าย เพราะในความจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการใช้รถก็มีสูงอยู่แล้ว
และหากต้องไปต่างจังหวัดควรเติมลมให้ความดันลมในยางสูงกว่าที่กำหนดนิดหน่อยด้วยซ้ำไป เพื่อลดสั่นสะเทือนของxเนื้อยางและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่สำคัญ ต้องเติมลมยางอะไหล่ด้วย เพื่อให้มีความพร้อมในการใช้งานในโอกาสฉุกเฉิน
หมายเหตุ : ยางเรเดียลช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่ายางธรรมดา และในรถยนต์คันหนึ่งๆ ไม่ควรใช้ยางธรรมดาผสมกับยางเรเดียล
เพียงใส่ใจที่จะตรวจสอบลมยาง และเข้ารับบริการตามสถานีบริการน้ำมัน ฟรีหรือเสียค่าบริการเพียงนิดหน่อย เวลาก็เพียงเล็กน้อยในช่วงที่เข้าเติมน้ำมัน แต่ผลที่ได้รับกลับประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ความปลอดภัยในการขับรถยนต์ก็คุ้มค่ากับการเสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง
4. ไม่เก็บของไว้ในรถเกินความจำเป็น
เนื่องจากรถยนต์ที่หนักจะส่งผลให้เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ ก็เป็นการเช็คสภาพรถก่อนใช้งานทุกครั้งให้ติดเป็นนิสัย เช่น เช็คหม้อน้ำ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ออโต้ น้ำกลั่นในแบตเตอรี่ น้ำมันเบรก น้ำมันครัช สายพานไดร์ชาร์จ และอื่นๆ
การประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ยังคงสามารถใช้ได้สำหรับคนที่ใช้รถใช้ถนนทุกคน