วิธีเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ – เลือกซื้ออย่างไรให้คุ้มค่า
แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นอีกชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์และมีอายุการใช้งานที่จำกัด 1.5-3 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถ แต่รถคันหนึ่งๆ เราใช้งานนานกว่านั้น เมื่อแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ก็ถึงเวลาที่เราต้องหาซื้อใหม่ การเลือกซื้อของใหม่จึงมีความสำคัญ ต้องใส่ใจเลือกของที่มีคุณภาพ และยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกซื้ออีก มาดูกันว่า วิธีเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ ต้องทำอย่างไรบ้าง
หลักๆ อย่างแรกคือ จ่ายเงินแล้ว ต้องได้ของที่ดีคุ้มกับเงินที่จ่ายไป
ซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ อย่างไรดี
1.เลือกซื้อแบตเตอรี่รถยนต์แบรนด์มีชื่อเสียง เพราะเชื่อมั่นได้ว่า แบรนด์เหล่านั้นต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเอง จึงผลิตสินค้าคุณภาพดีออกมาจำหน่ายอย่างมีมาตรฐาน ( หรือหากลูกค้าไม่มีข้อมูลศูนย์บริการเเบตเตอรี่รถยนต์ ก็ สามารถเข้ามาดูข้อมูลได้ที่นี่ อีกด้วย ร้านเเบตเตอรี่รถยนต์ )
2. เลือกซื้อแบตรถยนต์ที่เพิ่งผลิตออกมาจำหน่าย แบตเตอรี่รถยนต์ไม่เหมือนสินค้าอื่น จะมาซื้อแบบของค้าง stock เพราะราคาถูกกว่า จะเสียใจภายหลัง เพราะแบตที่หมดอายุ เสื่อมคุณภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจทำให้เจ้าของรถเสียหาย เสียเงินเพิ่ม. เพราะซื้อของเก่าๆ มาใช้ เมื่อเทียบกับการเลือกซื้อสินค้าเพิ่งผลิตแล้ว ซื้อของค้างสต็อก ถูกแค่ตอนซื้อแต่สุดท้าย อาจต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ต้องจ่ายในการซื้อของใหม่. เพิ่งออกจำหน่ายมาใช้ด้วยซ้ำ การจะดูว่าเป็นของใหม่หรือไม่นั้นไม่ยากเลย ให้ดูจากวัน เดือนปีที่ผลิตที่ตัวแบตเตอรี่ เพราะแบตเตอรี่แต่ละล็อตที่ผลิตออกจำหน่ายจะมีรหัสการผลิตทำนองเดียวกับยางรถยนต์
3. แบตเตอรี่รถยนต์นั้น มีทั้งแบบแห้งไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และ แบบต้องเติมน้ำกลั่น สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีเวลาดูแลรถประจำ ควรเลือกใช้แบตเตอรี่แบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นจะดีกว่าแต่มีข้อจำกัดต้องระวังด้วยว่า รถที่ใช้แบตแบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นนั้นต้องเป็นรถที่ไม่มีการแต่งเติมอุปกรณ์ไฟฟ้าเกินกว่าสภาพดั้งเดิมตอนออกจากโรงงานอนึ่ง ถ้าเลือกใช้แบตเตอรี่แบบไม่เติมน้ำกลั่น ควรศึกษาและดูรายละเอียดของสินค้าให้ดี เพราะสินค้าในท้องตลาดนั้น แต่ละยี่ห้อก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป
-
สำหรับผู้ใช้รถที่นิยมแต่งเติม เสริมอุปกรณ์ไฟฟ้าเข้าไปในภายหลัง เช่น ระบบเครื่องเสียง,ไฟตัดหมอก,ขนาดไฟหน้าที่สว่างกว่าเดิม ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิดที่ต้องเติมน้ำกลั่น เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใส่เพิ่มเข้าไปในรถ ทำให้ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น การใช้ไฟฟ้ามากก็เป็นเหตุให้เกิดการประจุและการนำกระแสไฟมากกว่าปกติ ซึ่งถ้าหากเลือกใช้แบตแบบแห้ง ก็จะทำให้แบตเสื่อมเร็วมากขึ้น การใช้รถที่ต้องคอยเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องสนุก และยังมีแนวโน้มจะลืมตรวจเช็คได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ไม่ควรเลือกเสี่ยง
- ข้อนี้สำคัญมากๆ เวลาซื้อแบตเตอรี่ใหม่เพื่อแทนของเดิมที่ติดมากับรถ ต้องเลือกที่มีขนาด . แอมแปร์เท่ากันหรือมากกว่าที่เคยติดมากับรถ เช่น
5.1 รถญี่ปุ่นที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1300-1800cc ควรใช้แบตเตอรี่ขนาด 45 แอมป์ – 60 แอมป์ แต่ .ถ้าเครื่องยนต์ขนาด 2000-3000cc ต้องใช้ขนาด 60 แอมป์ – 75 แอมป์
5.2 รถยุโรป เครื่องยนต์ขนาด 2000cc-3000cc ควรใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมป์ ขั้วจม แต่ถ้า
.เครื่องยนต์ขนาด 2800cc-4000cc ต้องใช้แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์ ขั้วจม
5.3 รถกระบะ เครื่องยนต์ขนาด 2000cc-3000cc ให้ใช้แบตเตอรี่ขนาด 70 แอมป์ – 90 แอมป์
ข้อดีของการเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์มากกว่าก็คือ สามารถใช้งานได้นานกว่าขนาดแอมแปร์น้อย แต่อย่างไรก็ควรดูความเหมาะสมและราคาประกอบด้วย เพราะบางครั้งการเลือกขนาดแอมแปร์สูงๆ ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากขนาดของเครื่องยนต์เล็กและไม่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่ใช้ไฟฟ้ามากมายอะไร
- กรณีเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้รถยนต์เก่าที่ใช้งานมานาน เวลาซื้อแบตเตอรี่ต้องเพิ่มค่า Ah มากขึ้นกว่าเดิม เช่น แบตลูกเดิมเคยใช้ 12V 60Ah เมื่อซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนควรเลือก 12V 65Ah หรือ 12V 70Ah คือเพิ่มค่า Ah อีกสัก 5-10 เหตุผลเพราะว่า รถยนต์ที่ใช้งานมานานๆ อุปกรณ์ต่างๆ ในรถจะมีความเป็นตัวนำไฟฟ้าลดลง เป็นเหตุให้กระแสสูญเสียไปกับความร้อนที่เกิดขึ้น การเลือกแบตที่มีค่า Ah เพิ่มขึ้นนับเป็นการเผื่อค่าการจ่ายกระแสมากขึ้น ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย เพราะกระแสไม่เพียงพอ (หรือ หากรถยนต์ของท่านไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ก็สามารถทำให้เเบตเตอรี่เสื่อมหรือมีปัญหาได้ ส่วนวิธีเเก้ไข สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ปัญหาเเบตเตอรี่รถยนต์ )
- ควรเลือกซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ ที่มีตาแมวหรือช่องสำหรับดูค่าความถ่วงจำเพาะหรือสถานะของแบตเตอรี่ เพราะจะช่วยให้เราตรวจดูสถานะของแบตเตอรี่ได้ง่าย การรู้สภาพปัจจุบันของแบตเตอรี่นั้น เป็นเรื่องที่ดี ไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงที่เกิดจากแบตเสื่อม หรือเสียหายโดยไม่รู้ตัว – เลือกแบตเตอรี่รถยนต์ ไหนดี
ข้อควรปฏิบัติกรณีเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นแบบเติมน้ำกลั่น
- เมื่อเติมกรดครั้งแรกควรทิ้งไว้ราว ๑–๒ชั่วโมง
- จากนั้นนำไปชาร์จไฟเพื่อให้แผ่นธาตุทำปฎิกริยากับกรดอย่างเต็มที่
- ในการชาร์จไฟนั้น ควรใช้แบบกระแสต่ำชาร์จ เพราะจะทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าจะเต็ม ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะการชาร์จไฟนานๆ ในครั้งแรก จะช่วยให้แบตเตอรี่ดังกล่าวมีประสิทธิภาพการใช้งานสูงและสามารถใช้ได้นานขึ้น